[FIC-RED VELVET] จำเลย (WENGI)
ใครขโมยพระพุทธรูป
ผู้เข้าชมรวม
345
ผู้เข้าชมเดือนนี้
7
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ไฟสลัวในห้องทึบปิดตายกะพริบติดๆดับๆ ร่างบางบนเก้าอี้อีกด้านของโต๊ะสอบสวนนั่งไขว่ห้างกระดิกปลายเท้าไปมา ห้องนี้มีทางเข้าเพียงทางเดียวนั่นคือประตูเหล็กที่เปิดออกจากด้านในไม่ได้ เธอนั่งรอมาราวสามสิบนาทีแล้ว ด้านหน้ามีเพียงโค้กหนึ่งกระป๋องกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้ววางอยู่แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ถูกให้ความสนใจเลยแม้แต่ปลายนิ้วแตะ
ประตูเปิดออกและปิดลงทันที ผู้ทำหน้าที่รีดความจริงจากว่าที่นักโทษซึ่งนั่งหันหลังให้อยู่ในห้องเดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มข้อมูลเล่มหนา หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“นึกว่าจะเป็นผู้ชาย” คนที่รออยู่ก่อนพูดขึ้น
“นั่นคือคำทักทายสินะ ขอบคุณ” หล่อนตอบ ปรายตาขึ้นมอง เหยียดยิ้มมุมปาก
ผู้สอบสวนเปิดแฟ้มประวัติของคนตรงหน้า ไล่สายตาดูคร่าวๆ ก่อนจะไปสะดุดอยู่ที่รูปถ่ายซึ่งดูดีเกินกว่าจะตกเป็นผู้ต้องหาขโมยพระพุทธรูปราคาองค์ละเก้าสิบห้าบาทของคนข้างบ้าน ทั้งรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณ เห็นครั้งแรกแล้วดูออกเลยว่าคงจะเป็นลูกคนรวย
“เอาล่ะ” หล่อนปิดแฟ้มแล้วดันมันไปไว้ด้านข้าง หยิบกระดาษโล่งแผ่นใหม่มาวางไว้ข้างหน้าแทน “เราจะไม่สนใจแฟ้มบ้าบอนี่ มาเริ่มเขียนข้อมูลกันใหม่กัน”
“เสียเวลา คิดว่ามุกแบบนั้นจะชนะใจทุกคนได้เหมือนในหนังหรือยังไงคุณ เขาทำมาให้อ่านก็อ่านไปสิ”
คนติดคดีเท้าแขนกับโต๊ะเหมือนเบื่อหน่ายเต็มทน ปรายตามองนาฬิกาบนผนังอย่างเซ็งๆ ผู้สอบสวนสูดหายใจเข้าลึก ไม่ใช่ว่าจะเจอคนแบบนี้เคสแรกเสียเมื่อไหร่ หล่อนยิ้ม
“ชื่ออะไร”
“ตาบอดเหรอ อ่านในแฟ้มเอาสิ”
“โอเค คุณพรประภา..” หล่อนลอบถอนหายใจออกทางหู “เพื่อจะได้ไม่เกร็งจนเกินไป.. ขอแนะนำตัวหน่อยแล้วกัน ฉันชื่ออัครเดช”
“ฉันดูเกร็งขนาดนั้นเลยรึไง?” พรประภาพิงหลังกับพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นมาชื่นชมเล็บสามมิติที่เพิ่งทำมาใหม่ของตัวเอง
“คุณหิวมั้ย”
“เอาอาหารมา”
อัครเดชกดโทรเลขอิเล็คทรอนิกส์ตรงมุมโต๊ะ จิ้มปุ่มที่เขียนกำกับไว้ว่า ‘แผนกแม่ครัวและคนทำความสะอาด’ รอไม่นานก็มีเสียงตอบรับ “ผกามาศพูดค่ะ”
“คุณอยากกินอะไร” หันไปถามอีกคน แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพรประภาไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว!
“ฮัลโหลสวัสดีตัวผมนี้จะบอกว่าวันนี้ผมมีความสุข เฮ้ย!!! ผมนั้นมีความสุขไม่เคยจะทุกข์แถมยังสนุกกับผองเพื่อน!!!”
พรประภากำลังกางแขนกางขาปีนขึ้นไปร้องเพลงให้กล้องวงจรปิดตรงมุมห้องฟัง หล่อนปีนขึ้นไปสูงเกือบถึงเพดานจนอัครเดชถึงกับอ้าปากค้าง..
เธอเคยพยายามแล้ว แต่ไม่เคยขึ้นไปได้สูงขนาดนั้นมาก่อน! พรประภาเป็นใครกันแน่!
“ฮัลโหล ยังอยู่รึเปล่าคะ ตอนนี้มีออเดอร์ข้าวแกงหมาลวกเข้ามา ถ้ายังไม่สั่งดิฉันจะลัดคิวก่อนนะคะเพราะต้องให้ดุจดาวไปจับหมา” เสียงจากโทรเลขอิเลคทรอนิกส์ย้ำถึงสัญญาณสิ่งมีชีวิตปลายสาย อัครเดชที่ตั้งใจจะขอสูตรไถตัวขึ้นกำแพงจำต้องพับความคิดเก็บไว้ก่อน
“ฉันเอาสตูว์นก คุณพรประภาจะเอาอะไรดีคะ”
“ฉันก็รักของฉันเข้าใจบ้างมั้ยยยยยยยยยยยยยยยยย” หล่อนยังไม่เลิกร้องเพลง
“งั้นเอาข้าวคลุกปลาทูมาแล้วกัน” อัครเดชสั่งแทนให้ ปลายสายตอบรับแล้วกดวางไป
ผู้สอบสวนพยายามข่มความรู้สึกอยากเรียนวิชาปีนนั้นไว้แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม อัครเดชจิกเท้ากับพื้นเพื่อไม่ให้หลุดปากพูดอะไรแปลกๆออกไป ..เธอรู้สึกว่าเวลาพรประภาปีนกำแพงขึ้นไปนั้นช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน
รอซักพักหล่อนก็กระโดดตีลังกาลงมาจากกำแพงแล้วกลับมานั่งที่เดิม คราวนี้จิบน้ำนิดหน่อย
“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน คุณไปขโมยพระเขาทำไม”
“มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ฉันต้องอยากบอกคุณด้วย?”
“คุณควรจะให้เกียรติเจ้าหน้าที่ในการรีดไถข้อมูลไงล่ะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแทรกก่อนจะตามมาด้วยบุคคลในชุดสีขาวเปื้อนคราบเลือดเล็กน้อย หล่อนคือผกามาศและดุจดาว แม่ครัวประจำสถานีรำตวจแห่งนี้นั่นเอง หล่อนเดินเข้ามาพร้อมถาดใส่อาหารขนาดใหญ่ วางลงตรงหน้าคนทั้งสอง
“สตูว์นกวันนี้ทำจากคอนกกระจอกเทศนะคะ เหนียวเป็นพิเศษ พอดีจำได้ว่าคุณอัครเดชบ่นคราวที่แล้วเรื่องนกอินทรีย์มันเนื้อเละไป” ผกามาศอธิบาย ยื่นขนหางของนกกระจอกเทศให้รำตวจสาวเป็นที่ระลึก
ดุจดาวเสิร์ฟอาหารให้คนอีกฝั่ง “ข้าวคลุกปลาทูค่ะ ดิฉันเลาะก้างให้หมดแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะติดคอเลยนะคะ”
“แล้ว..” พรประภาตั้งท่าจะถามแต่ก็ถูกขัดไว้ด้วยนิ้วชี้พร้อมกับเสียงจุ๊ๆ
“น้ำพริกกะปิใช่มั้ยคะ ดุจดาวเห็นหน้าก็รู้แล้วค่ะ เตรียมมาให้เรียบร้อย”
ถ้วยน้ำพริกสีเข้มถูกวางไว้ข้างๆจานข้าว กลิ่นกะปิหอมหวนอบอวนไปทั่วห้องสี่เหลี่ยมทึบแห่งนี้ ผกามาศและดุจดาวขอตัวออกไปทันทีเพื่อให้เวลาทั้งสองคนได้ดื่มด่ำกับอาหารหน้าตากรรมกรแต่รสชาติน่าประทับใจตั้งแต่คำแรก ฟินดั่งเกิร์ลส์เจเนเรชั่นมาสะบัดขาให้ดูตรงหน้า
“ถ้าอร่อยจะสั่งเพิ่มอีกก็ได้นะ” อัครเดชพูดหลังจากเห็นพรประภาสวาปามข้าวในจานจนแทบจะเลีย สายตาคมมองหล่อนอย่างเอ็นดู ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอใครกินข้าวได้เหมือนอดอยากมาตลอดชีวิตแบบนี้มาก่อน
มือบางคว้าทิชชู่กวาดเช็ดรอบปากที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำพริกและเศษข้าวของพรประภาอย่างเบามือ รวมถึงชิ้นเนื้อปลาทูบนเส้นผม
“คุณน่ารักจัง” อัครเดชบอก วางช้อนส้อมในมือแล้วนั่งจ้องหน้าพรประภาที่เริ่มแดงขึ้นนิดหน่อย
“อะไรของคุณ”
“ฉันชอบนะ เวลาที่คุณโยนช้อนส้อมทิ้งไปแล้วทิ่มหน้าลงไปแบบนั้น มันทรงพลังมาก.. มากจนน้ำตาจะไหล” อัครเดชยันตัวขึ้นยืน อ้อมไปอีกฝั่ง ร่างสูงวางมือเบาๆบนไหล่บางของพรประภาแล้วบีบนวดเร่งความความร้อนในตัวอีกคน..
ประตูเปิดผัวะ ตามมาด้วยเสียงโวยวายของผู้หญิงโดยมีคำพูดห้ามปรามของเจ้าหน้าที่รำตวจหลายนายแทรกเป็นระยะ อัครเดชหมุนตัวเดินไปดูสถานการณ์ภายนอกแต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นประตูก็ถูกขาปริศนายันถีบกระเด็นไปกระแทกกำแพงด้านหลัง
“ยัยนี่แหละ! ยัยนี่แหละที่ขโมยพระพุทธรูปของฉันไป!” ร่างหญิงแปลกหน้าเตรียมจะเดินเข้ามาฟาดงวงใส่หน้าพรประภาแล้วถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่ล่ามโซ่เอาไว้
“คุณเป็นใคร..” อัครเดชลุกจากพื้นอย่างยากลำบาก อาการจุกจากพลังมหาศาลราวฮิปโปแอมะซอนยังส่งผลให้จุกเสียดเวียนท้องเหมือนมีทอร์นาโดอยู่ภายใน ท่าทางว่าความรุนแรงนั้นจะเฉียดไปโดนพิกัดที่ 45.675 ของกระเพาะด้วยจึงทำให้รู้สึกเหมือนโดนฆ่าศึกบุกมาถึงป้อมแต่ต้องต่อสู้กับทหารบนกำแพงซึ่งป้องกันสุดชีวิตอยู่
ยังไม่ทันได้อธิบายอะไร พรประภาก็หันไปตอบโต้
“แก่แล้วยังจะปากมากอีกยายทองก้อน! กลับบ้านไปรีดผ้าไป๊!!!!!”
------------------------------------------------------------------------------------
ใครมันจะไปฮาได้เท่านางสาวกรองแก้ว ฉุยสมร ณ ลอเก้าสี่
โอ้โห สำนวนนาง....
เพลงประกอบ http://www.youtube.com/watch?v=dPXBwYpp4LU
ผลงานอื่นๆ ของ ดึ๋ยดำดึก ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ดึ๋ยดำดึก
ความคิดเห็น