[FIC-RED VELVET] จำเลย (WENGI) - [FIC-RED VELVET] จำเลย (WENGI) นิยาย [FIC-RED VELVET] จำเลย (WENGI) : Dek-D.com - Writer

    [FIC-RED VELVET] จำเลย (WENGI)

    ใครขโมยพระพุทธรูป

    ผู้เข้าชมรวม

    345

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    345

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    6
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 มี.ค. 58 / 19:02 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    #น้ำตาจะจองนองทั้งแผ่นดิน


     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ไฟสลัวในห้องทึบปิดตายกะพริบติดๆดับๆ ร่างบางบนเก้าอี้อีกด้านของโต๊ะสอบสวนนั่งไขว่ห้างกระดิกปลายเท้าไปมา ห้องนี้มีทางเข้าเพียงทางเดียวนั่นคือประตูเหล็กที่เปิดออกจากด้านในไม่ได้ เธอนั่งรอมาราวสามสิบนาทีแล้ว ด้านหน้ามีเพียงโค้กหนึ่งกระป๋องกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้ววางอยู่แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ถูกให้ความสนใจเลยแม้แต่ปลายนิ้วแตะ

       

      ประตูเปิดออกและปิดลงทันที ผู้ทำหน้าที่รีดความจริงจากว่าที่นักโทษซึ่งนั่งหันหลังให้อยู่ในห้องเดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มข้อมูลเล่มหนา หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม 

       

      “นึกว่าจะเป็นผู้ชาย” คนที่รออยู่ก่อนพูดขึ้น

       

      “นั่นคือคำทักทายสินะ ขอบคุณ” หล่อนตอบ ปรายตาขึ้นมอง เหยียดยิ้มมุมปาก 

       

      ผู้สอบสวนเปิดแฟ้มประวัติของคนตรงหน้า ไล่สายตาดูคร่าวๆ ก่อนจะไปสะดุดอยู่ที่รูปถ่ายซึ่งดูดีเกินกว่าจะตกเป็นผู้ต้องหาขโมยพระพุทธรูปราคาองค์ละเก้าสิบห้าบาทของคนข้างบ้าน ทั้งรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณ เห็นครั้งแรกแล้วดูออกเลยว่าคงจะเป็นลูกคนรวย

       

      “เอาล่ะ” หล่อนปิดแฟ้มแล้วดันมันไปไว้ด้านข้าง หยิบกระดาษโล่งแผ่นใหม่มาวางไว้ข้างหน้าแทน “เราจะไม่สนใจแฟ้มบ้าบอนี่ มาเริ่มเขียนข้อมูลกันใหม่กัน”

       

      “เสียเวลา คิดว่ามุกแบบนั้นจะชนะใจทุกคนได้เหมือนในหนังหรือยังไงคุณ เขาทำมาให้อ่านก็อ่านไปสิ”

       

      คนติดคดีเท้าแขนกับโต๊ะเหมือนเบื่อหน่ายเต็มทน ปรายตามองนาฬิกาบนผนังอย่างเซ็งๆ ผู้สอบสวนสูดหายใจเข้าลึก ไม่ใช่ว่าจะเจอคนแบบนี้เคสแรกเสียเมื่อไหร่ หล่อนยิ้ม

       

      “ชื่ออะไร”

       

      “ตาบอดเหรอ อ่านในแฟ้มเอาสิ”

       

      “โอเค คุณพรประภา..” หล่อนลอบถอนหายใจออกทางหู “เพื่อจะได้ไม่เกร็งจนเกินไป.. ขอแนะนำตัวหน่อยแล้วกัน ฉันชื่ออัครเดช”

       

      “ฉันดูเกร็งขนาดนั้นเลยรึไง?” พรประภาพิงหลังกับพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นมาชื่นชมเล็บสามมิติที่เพิ่งทำมาใหม่ของตัวเอง

       

      “คุณหิวมั้ย”

       

      “เอาอาหารมา”

       

      อัครเดชกดโทรเลขอิเล็คทรอนิกส์ตรงมุมโต๊ะ จิ้มปุ่มที่เขียนกำกับไว้ว่า ‘แผนกแม่ครัวและคนทำความสะอาด’ รอไม่นานก็มีเสียงตอบรับ “ผกามาศพูดค่ะ”

       

      “คุณอยากกินอะไร” หันไปถามอีกคน แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพรประภาไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว!

       

       

       

      “ฮัลโหลสวัสดีตัวผมนี้จะบอกว่าวันนี้ผมมีความสุข เฮ้ย!!! ผมนั้นมีความสุขไม่เคยจะทุกข์แถมยังสนุกกับผองเพื่อน!!!” 

       

      พรประภากำลังกางแขนกางขาปีนขึ้นไปร้องเพลงให้กล้องวงจรปิดตรงมุมห้องฟัง หล่อนปีนขึ้นไปสูงเกือบถึงเพดานจนอัครเดชถึงกับอ้าปากค้าง..

       

       

       

      เธอเคยพยายามแล้ว แต่ไม่เคยขึ้นไปได้สูงขนาดนั้นมาก่อน! พรประภาเป็นใครกันแน่!

       

       

      “ฮัลโหล ยังอยู่รึเปล่าคะ ตอนนี้มีออเดอร์ข้าวแกงหมาลวกเข้ามา ถ้ายังไม่สั่งดิฉันจะลัดคิวก่อนนะคะเพราะต้องให้ดุจดาวไปจับหมา” เสียงจากโทรเลขอิเลคทรอนิกส์ย้ำถึงสัญญาณสิ่งมีชีวิตปลายสาย อัครเดชที่ตั้งใจจะขอสูตรไถตัวขึ้นกำแพงจำต้องพับความคิดเก็บไว้ก่อน

       

      “ฉันเอาสตูว์นก คุณพรประภาจะเอาอะไรดีคะ”

       

      “ฉันก็รักของฉันเข้าใจบ้างมั้ยยยยยยยยยยยยยยยยย” หล่อนยังไม่เลิกร้องเพลง

       

      “งั้นเอาข้าวคลุกปลาทูมาแล้วกัน” อัครเดชสั่งแทนให้ ปลายสายตอบรับแล้วกดวางไป

       

      ผู้สอบสวนพยายามข่มความรู้สึกอยากเรียนวิชาปีนนั้นไว้แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม อัครเดชจิกเท้ากับพื้นเพื่อไม่ให้หลุดปากพูดอะไรแปลกๆออกไป ..เธอรู้สึกว่าเวลาพรประภาปีนกำแพงขึ้นไปนั้นช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน

       

      รอซักพักหล่อนก็กระโดดตีลังกาลงมาจากกำแพงแล้วกลับมานั่งที่เดิม คราวนี้จิบน้ำนิดหน่อย

       

      “เข้าเรื่องเลยแล้วกัน คุณไปขโมยพระเขาทำไม”

       

      “มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ฉันต้องอยากบอกคุณด้วย?”

       

      “คุณควรจะให้เกียรติเจ้าหน้าที่ในการรีดไถข้อมูลไงล่ะ”

       

      เสียงเคาะประตูดังขึ้นแทรกก่อนจะตามมาด้วยบุคคลในชุดสีขาวเปื้อนคราบเลือดเล็กน้อย หล่อนคือผกามาศและดุจดาว แม่ครัวประจำสถานีรำตวจแห่งนี้นั่นเอง หล่อนเดินเข้ามาพร้อมถาดใส่อาหารขนาดใหญ่ วางลงตรงหน้าคนทั้งสอง

       

      “สตูว์นกวันนี้ทำจากคอนกกระจอกเทศนะคะ เหนียวเป็นพิเศษ พอดีจำได้ว่าคุณอัครเดชบ่นคราวที่แล้วเรื่องนกอินทรีย์มันเนื้อเละไป” ผกามาศอธิบาย ยื่นขนหางของนกกระจอกเทศให้รำตวจสาวเป็นที่ระลึก

       

      ดุจดาวเสิร์ฟอาหารให้คนอีกฝั่ง “ข้าวคลุกปลาทูค่ะ ดิฉันเลาะก้างให้หมดแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะติดคอเลยนะคะ” 

       

      “แล้ว..” พรประภาตั้งท่าจะถามแต่ก็ถูกขัดไว้ด้วยนิ้วชี้พร้อมกับเสียงจุ๊ๆ

       

      “น้ำพริกกะปิใช่มั้ยคะ ดุจดาวเห็นหน้าก็รู้แล้วค่ะ เตรียมมาให้เรียบร้อย”

       

      ถ้วยน้ำพริกสีเข้มถูกวางไว้ข้างๆจานข้าว กลิ่นกะปิหอมหวนอบอวนไปทั่วห้องสี่เหลี่ยมทึบแห่งนี้ ผกามาศและดุจดาวขอตัวออกไปทันทีเพื่อให้เวลาทั้งสองคนได้ดื่มด่ำกับอาหารหน้าตากรรมกรแต่รสชาติน่าประทับใจตั้งแต่คำแรก ฟินดั่งเกิร์ลส์เจเนเรชั่นมาสะบัดขาให้ดูตรงหน้า

       

      “ถ้าอร่อยจะสั่งเพิ่มอีกก็ได้นะ” อัครเดชพูดหลังจากเห็นพรประภาสวาปามข้าวในจานจนแทบจะเลีย สายตาคมมองหล่อนอย่างเอ็นดู ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอใครกินข้าวได้เหมือนอดอยากมาตลอดชีวิตแบบนี้มาก่อน

       

      มือบางคว้าทิชชู่กวาดเช็ดรอบปากที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำพริกและเศษข้าวของพรประภาอย่างเบามือ รวมถึงชิ้นเนื้อปลาทูบนเส้นผม 

      “คุณน่ารักจัง” อัครเดชบอก วางช้อนส้อมในมือแล้วนั่งจ้องหน้าพรประภาที่เริ่มแดงขึ้นนิดหน่อย

       

      “อะไรของคุณ”

       

      “ฉันชอบนะ เวลาที่คุณโยนช้อนส้อมทิ้งไปแล้วทิ่มหน้าลงไปแบบนั้น มันทรงพลังมาก.. มากจนน้ำตาจะไหล” อัครเดชยันตัวขึ้นยืน อ้อมไปอีกฝั่ง ร่างสูงวางมือเบาๆบนไหล่บางของพรประภาแล้วบีบนวดเร่งความความร้อนในตัวอีกคน..

       

      ประตูเปิดผัวะ ตามมาด้วยเสียงโวยวายของผู้หญิงโดยมีคำพูดห้ามปรามของเจ้าหน้าที่รำตวจหลายนายแทรกเป็นระยะ อัครเดชหมุนตัวเดินไปดูสถานการณ์ภายนอกแต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นประตูก็ถูกขาปริศนายันถีบกระเด็นไปกระแทกกำแพงด้านหลัง

       

      “ยัยนี่แหละ! ยัยนี่แหละที่ขโมยพระพุทธรูปของฉันไป!” ร่างหญิงแปลกหน้าเตรียมจะเดินเข้ามาฟาดงวงใส่หน้าพรประภาแล้วถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่ล่ามโซ่เอาไว้

       

      “คุณเป็นใคร..” อัครเดชลุกจากพื้นอย่างยากลำบาก อาการจุกจากพลังมหาศาลราวฮิปโปแอมะซอนยังส่งผลให้จุกเสียดเวียนท้องเหมือนมีทอร์นาโดอยู่ภายใน ท่าทางว่าความรุนแรงนั้นจะเฉียดไปโดนพิกัดที่ 45.675 ของกระเพาะด้วยจึงทำให้รู้สึกเหมือนโดนฆ่าศึกบุกมาถึงป้อมแต่ต้องต่อสู้กับทหารบนกำแพงซึ่งป้องกันสุดชีวิตอยู่

       

      ยังไม่ทันได้อธิบายอะไร พรประภาก็หันไปตอบโต้

       

      “แก่แล้วยังจะปากมากอีกยายทองก้อน! กลับบ้านไปรีดผ้าไป๊!!!!!”




      ------------------------------------------------------------------------------------

      ใครมันจะไปฮาได้เท่านางสาวกรองแก้ว ฉุยสมร ณ ลอเก้าสี่
      โอ้โห สำนวนนาง....

      เพลงประกอบ 
      http://www.youtube.com/watch?v=dPXBwYpp4LU

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×